วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สรุปการรายงานและการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน

สรุปการรายงานกลุ่มและการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ในวิชาที่สอน

การจัดเรียนการสอนในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก เช่นในการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนบ้านเวียงหวาย อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดชียงราย ต้องมีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลต่างๆ เช่น เรื่องชนิดของคำ คำสุภาษิตคำพังเพย ปริศนาคำทาย ประวัติของบุคคลสำคัญต่างๆ เป็นต้น แหล่งข้อมูลมีทั้งในหนังสือจากห้องสมุดโรงเรียน ,การสอบถามผู้รู้ และการค้นหาข้อมูล Internet ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลทาง google
Google หมายถึง เว็บไซต์ Google (www.Google.co.th เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการในการค้นหาข้อมูลในโลกของอินเทอร์เน็ต โดยค้นหาข้อมูลจากข้อความ หรือตัวอักษรที่พิมพ์เข้าไป แล้วทำการค้นหาข้อมูล รูปภาพ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวข้องนำมาแสดงผล เว็บไซต์ Google ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ต้องการค้นหาข้อมูลGoogle เป็นเว็บไซต์ฐานข้อมูลที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของโลก ในอดีตเป็นบริษัทที่ดำเนินการด้านฐานข้มูลเพื่อให้บริการแก่เว็บไซต์ค้นหาอื่น ๆ ปัจจุบันได้เปิดเว็บไซต์ค้นหาเอง ด้วยฐานข้อมูลมากกว่าสามพันล้านเว็บไซต์และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน ที่เหนือกว่าผู้ให้บริการรายอื่นๆ คือ เป็นเว็บไซต์ค้นหาที่สนับสนุนภาษาต่างๆ มากกว่า 80 ภาษาทั่วโลก (รวมทั้งภาษาไทย) และมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ให้บริการในส่วนต่างๆ ของโลกมากถึง 36 ประเทศ (รวมทั้งในประเทศไทย อีกแล้ว)"Google" เป็นคำที่จงใจเพี้ยนมาจากคำว่า "Googol" ที่บัญญัติขึ้นโดย Milton Sirotta ในปี ค.ศ. 1938 ซึ่งหมายถึง จำนวนเลข 1 แล้วตามด้วยเลข 0 อีกหนึ่งร้อยตัว และ สองหนุ่มผู้ก่อตั้ง Search Engine นี้ได้ยืมและแผลงคำนี้มาใช้เพื่อเป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์ของบริการที่รวบรวมจัดระเบียบข้อมูลจำนวนมหาศาลขนาด Google ไว้ที่ Google นี่เอง...
นอกจาก Google แล้วยังมีอีกหลายช่องทางในการค้นคว้าหาข้อมูล เช่น yahoo ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่นักเรียนจะใช้ค้นคว้าหาข้อมูลที่ครูมอบหมายให้นักเรียนไปค้นคว้าเพื่อมาทำรายงานประกอบการเรียนการสอน
Yahoo หมายถึง การค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เป็นวิธีการที่รวดเร็ว และประหยัด แต่มีข้อเสียอยู่นิดหนึ่ง คือเสียค่าใช้จ่ายมาก ยิ่งถ้าคุณได้รู้วิธีการใช้บริการค้นหาข้อมูลอย่างถูYahoo ถือว่าเป็นบริการค้นหาข้อมูลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจาก Yahoo แบ่งการทำงานออกเป็น 2 ลักษณะ คือ เป็นทั้ง Directories และ Search engine โดยที่การค้นหาข้อมูลแบบ Directories นั้น มีวิธีการค้นหาที่แตกต่างจากแบบ Search engine ตรงที่ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บ ในลักษณะ ที่เป็นหมวดหมู่ หรือแยกตามประเภท ที่กระทำโดยคน ไม่ใช่โดย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งวิธีการค้นหาข้อมูลแบบนี้ จะทำได้โดยการเข้าไปดูทีละ categories และเข้าไป ใน sub-categories ซึ่งเริ่มจากหัวข้อที่เป็นเรื่องทั่วไปหรือกว้าง ๆ ก่อน แล้วจึงเข้าสู่หัวข้อ ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง ถึงหัวข้อที่เราต้องการ ข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้ คือ จะทำให้คุณ มีโอกาสเลือก ในสิ่งที่ต้องการได้ในขณะที่เข้าไปในหัวข้อย่อยนั้น ๆ แต่สำหรับการค้นหาข้อมูลแบบ Search engine นั้นเป็นการค้นหาข้อมูลจาก Keyword ที่คุณพิมพ์ลงไป โดยที่คุณจะไม่มีโอกาสรู้เลยว่า มีข้อมูลอะไรบรรจุไว้ในนั้นบ้าง จนกว่าคุณจะพิมพ์คำ ที่ต้องการค้นหาลงไป ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ในครั้งแรก อาจจะต้องลองเปลี่ยนคำที่เป็น Keyword หลายครั้ง หรืออาจจะต้อง กลั่นกรองคำที่ค้นหาเพื่อให้ผลลัพธ์แคบลง และอาจจะต้องพยายามใหม่อีกหลายครั้ง ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ผลลัพธ์ที่แสดงขึ้นมาจากการค้นหาข้อมูลแบบ Search engine จึงเป็นผลลัพธ์ที่ มีจาก Keywords ที่คุณพิมพ์ลงไปนั่นเอง
ในการใช้คอมพิวเตอร์ และยิ่งต้องใช้ Internet ช่วยในการค้นหาข้อมูลแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่นักเรียนจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับไวรัส การสแกนไวรัส อาการที่เครื่องคอมพิวเตอร์ติดไวรัสป็นอย่างไร การกำจัดไวรัส การป้องกันไวรัส
ไวรัส คือโปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูลไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายถึงว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำ คอมพิวเตอร์ เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไวรัสก็เป็นแค่โปรแกรม ๆ หนึ่งการที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกให้ทำงานได้นั้นยังขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัส แต่ละตัวปกติผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำการปลุกคอมพิวเตอร์ไวรัสขึ้นมาทำงานแล้ว
จุดประสงค์ของการทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับตัวผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่น ๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ แสดงข้อความวิ่งไปมาบน หน้าจอ เป็นต้น
อาการติดไวรัสของเครื่องคอมพิวเตอร์
สามารถสังเกตุการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้อาจเป็นไปได้ว่าได้มีไวรัสเข้าไปติดอยู่ในเครื่องแล้ว อาการที่ว่านั้นได้แก่
§ ใช้เวลานานผิดปกติในการเรียกโปรแกรมขึ้นมาทำงาน
§ ขนาดของโปรแกรมใหญ่ขึ้น
§ วันเวลาของโปรแกรมเปลี่ยนไป
§ ข้อความที่ปกติไม่ค่อยได้เห็นกลับถูกแสดงขึ้นมาบ่อย ๆ
§ เกิดอักษรหรือข้อความประหลาดบนหน้าจอ
§ เครื่องส่งเสียงออกทางลำโพงโดยไม่ได้เกิดจากโปรแกรมที่ใช้อยู่
§ แป้นพิมพ์ทำงานผิดปกติหรือไม่ทำงานเลย
§ ขนาดของหน่วยความจำที่เหลือลดน้อยกว่าปกติ โดยหาเหตุผลไม่ได้
§ ไฟล์แสดงสถานะการทำงานของดิสก์ติดค้างนานกว่าที่เคยเป็น
§ ไฟล์ข้อมูลหรือโปรแกรมที่เคยใช้อยู่ ๆ ก็หายไป
§ เครื่องทำงานช้าลง
§ เครื่องบูตตัวเองโดยไม่ได้สั่ง
§ ระบบหยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
§ เซกเตอร์ที่เสียมีจำนวนเพิ่มขึ้นโดยมีการรายงานว่าจำนวนเซกเตอร์ที่เสียมีจำนวน เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนโดยที่
§ ยังไม่ได้ใช้โปรแกรมใดเข้าไปตรวจหาเลย
การตรวจหาไวรัส
การสแกน
โปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใช้วิธีการสแกน (Scanning) เรียกว่า สแกนเนอร์ (Scanner) โดยจะมีการดึงเอาโปรแกรมบางส่วนของตัวไวรัสมาเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล ส่วนที่ดึงมานั้นเราเรียกว่า ไวรัสซิกเนเจอร์ (VirusSignature)และเมื่อสแกนเนอร์ถูกเรียกขึ้นมาทำงานก็จะเข้าตรวจหาไวรัสในหน่วยความจำ บูตเซกเตอร์และไฟล์โดยใช้ ไวรัสซิกเนเจอร์ที่มีอยู่
ข้อดีของวิธีการนี้ก็คือ เราสามารถตรวจสอบซอฟแวร์ที่มาใหม่ได้ทันทีเลยว่าติดไวรัสหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสถูกเรียกขึ้นมาทำงานตั้งแต่เริ่มแรก แต่วิธีนี้มีจุดอ่อนอยู่หลายข้อ คือ
1. ฐานข้อมูลที่เก็บไวรัสซิกเนเจอร์จะต้องทันสมัยอยู่เสมอ แลครอบคลุมไวรัสทุกตัว มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
2.เพราะสแกนเนอร์จะไม่สามารถตรวจจับไวรัสที่ยังไม่มี ซิกเนเจอร์ของไวรัสนั้นเก็บอยู่ในฐานข้อมูลได้
3.ยากที่จะตรวจจับไวรัสประเภทโพลีมอร์ฟิก เนื่องจากไวรัสประเภทนี้เปลี่ยนแปลง ตัวเองได้
4.จึงทำให้ไวรัสซิกเนเจอร์ที่ใช้สามารถนำมาตรวจสอบได้ก่อนที่ไวรัส จะเปลี่ยนตัวเองเท่านั้น
5 . ถ้ามีไวรัสประเภทสทีลต์ไวรัสติดอยู่ในเครื่องตัวสแกนเนอร์อาจจะไม่สามารถ ตรวจหาไวรัสนี้ได้
6. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดและเทคนิคที่ใช้ของตัวไวรัสและ ของตัวสแกนเนอร์เองว่าใครเก่งกว่า
7. เนื่องจากไวรัสมีตัวใหม่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ ๆ ผู้ใช้จึงจำเป็นจะต้องหาสแกนเนอร์ ตัวที่ใหม่ที่สุดมาใช้
8. มีไวรัสบางตัวจะเข้าไปติดในโปรแกรมทันทีที่โปรแกรมนั้นถูกอ่าน และถ้าสมมติ
9. ว่าสแกนเนอร์ที่ใช้ไม่สามารถตรวจจับได้ และถ้าเครื่องมีไวรัสนี้ติดอยู่ เมื่อมีการ
10. เรียกสแกนเนอร์ขึ้นมาทำงาน สแกนเนอร์จะเข้าไปอ่านโปรแกรมทีละโปรแกรม เพื่อตรวจสอบ
11. ผลก็คือจะทำให้ไวรัสตัวนี้เข้าไปติดอยู่ในโปรแกรมทุกตัวที่ถูก สแกนเนอร์นั้นอ่านได้
12. สแกนเนอร์รายงานผิดพลาดได้ คือ ไวรัสซิกเนเจอร์ที่ใช้บังเอิญไปตรงกับที่มี
13. อยู่ในโปรแกรมธรรมดาที่ไม่ได้ติดไวรัส ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ไวรัสซิกเนเจอร์ ที่ใช้มีขนาดสั้นไป
14. ก็จะทำให้โปรแกรมดังกล่าวใช้งานไม่ได้อีกต่อไป

การป้องกันไวรัส

· สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
· สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
· ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
· อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
· เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
· เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วง ๆ
· เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
· เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
· สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
· เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสขึ้นมาทำงานได้
· เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น
การกำจัดไวรัส
เมื่อแน่ใจว่าเครื่องติดไวรัสแล้ว ให้ทำการแก้ไขด้วยความใคร่ครวญและระมัดระวังอย่างมาก เพราะบางครั้งตัวคนแก้เองจะเป็นตัวทำลายมากกว่าตัวไวรัสจริง ๆ เสียอีก การฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ใหม่อีกครั้งก็ไม่ใช่ วิธีที่ดีที่สุดเสมอไป ยิ่งแย่ไปกว่านั้นถ้าทำไปโดยยังไม่ได้มีการสำรองข้อมูลขึ้นมาก่อน การแก้ไขนั้นถ้าผู้ใช้มีความรู้เกี่ยวกับไวรัสที่ กำลังติดอยู่ว่าเป็นประเภทใดก็จะช่วยได้อย่างมาก และข้อเสนอแนะต่อไปนี้อาจจะมีประโยชน์ต่อท่าน

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หนองหาน
อ. เมือง จ. สกลนคร
เนื่องจากผู้เขียนมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จังหวัดสกลนคร จึงอยากจะพาไปเที่ยวชมดินแดนอีสาน ในจังหวัดสกลนครก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอยู่หลายแห่ง เช่น เทือกเขาภูพานหรือพระตำหนักภูพานฯ น้ำตกตาดขาม และหนองหาน ซึ่ง เป็นทะเลสาบน้ำจืด ที่มีชื่อเสียง และกว้างใหญ่มากแห่งหนึ่งของประเทศไทย มีเนื้อที่ประมาณ 123 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งรับน้ำตกของลำห้วยต่าง ๆ หลายสาย และยังเป็นต้นน้ำของลำน้ำก่ำซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม อำนวยประโยชน์ในด้านการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การประมง ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านในชุมชนรอบหนองหาน ระดับน้ำในหนองหานลึกประมาณ 3.8 เมตร ในบริเวณหนองหานมีเกาะต่าง ๆ กว่า 20 เกาะ เช่น เกาะดอนสวรรค์ ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด บนเกาะมีวัดร้าง และพระพุทธรูปเก่าแก่ นอกจากนั้นตามเกาะต่าง ๆ เหล่านี้จะมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่มากมาย เป็นที่อยู่อาศัยของนกนานาชนิด บางเกาะได้สร้างศาลาพักร้อน เช่น เกาะแก้ว เกาะดอนสะคาม และเกาะดอนสะทุง ฯลฯ ซึ่งในเวลากลางวันสาหร่ายที่อยู่ใต้พื้นน้ำ เมื่อแดดส่องลงในน้ำจะเห็นสาหร่ายเป็นสีทอง ได้รับการมาเยือนของประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญยังประโยชน์แก่ชาวบ้านในละแวกและใกล้เคียงมายาวนาน อาทิ การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การหาปลา ซึ่งใช้ในการดำรงชีวิตของชาวบ้านหนองหานมาตลอดเวลา โดยรอบมีเกาะแก่งปกคลุมด้วยแมกไม้เขียวขจี ที่สำคัญนักท่องเที่ยวยังได้ชมวิถีชีวิตในการล่องเรือของชาวบ้านด้วย นอกจากนี้จัดเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและจุดชมวิวทิวทัศน์ที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทัศนศึกษาโรงเรียน

เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2552 ทางโรงเรียนบ้านเวียงหวายได้จัดโครงการศึกษานอกสถานที่ ประจำปี 2552 โดยพานักเรียนไปทัศนศึกษาหอฝิ่น สามเหลี่ยมทองคำ ตลาดแม่สาย และ big c
หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ
วันและเวลาดำเนินการ
** วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 8.30 – 16.00 น. ( เวลา 16.00 น. เป็นเวลาขายบัตรรอบสุดท้าย ) ** จำนวนผู้เข้าชมมากสุดไม่ควรเกิน 50 คน/ รอบ ระยะเวลาสำหรับการชมนิทรรศการโดยเฉลี่ย 1-2 ชั่วโมง
อัตราค่าเข้าชม
- คนไทย 200 บาท / คน - คนต่างชาติ 300 บาท / คน - ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 50 บาท / คน - เด็กอายุ 12 – 18 ปี 50 บาท / คน - เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ไม่เสียค่าใช้จ่าย
หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ

เริ่มทำการก่อสร้างเมื่อปี พ. ศ. 2542 – พ.ศ. 2545 เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2546 และทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2548 โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฏราชกุมาร หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ เป็นเสมือนประตูเปิดสู่โลกอันลึกลับของพืชชนิดนี้ จากความมืดมนน่าหวาดกลัว สู่ความแจ่มจรัสและรู้แจ้ง พื้นที่ 5,600 ตารางเมตรแสดงลำดับเรื่องราวของฝิ่น โดยเริ่มจาธรรมชาติวิทยาของฝิ่น การสืบประวัติการใช้ฝิ่นในยุคโบราณกลับไป 5,000 ปี ประวัติการแพร่กระจายของฝิ่นจากการค้าสมัยจักรวรรดินิยม เหตุการณ์พลิกประวัติศาสตร์ที่สร้างความอดสูแก่ผู้ชนะและผู้แพ้สงครามฝิ่นอันนำไปสู่การล่มสลายของราชวงค์แมนจู ความชาญฉลาดของประเทศสยามในการเผชิญกับมหาอำนาจตะวันตกและการควบคุมปัญหาฝิ่น ยาเสพติดเริ่มใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันในรูปแบบของยามหัศจรรย์ หอฝิ่นได้นำเสนอสนธิสัญญาฝิ่น กฎหมายเกี่ยวกับฝิ่น องค์การที่แก้ไขปัญหานี้ ความขัดแย้งและการพัวพันอาชญากรรม ผลกระทบที่เลวร้ายของยาเสพติดที่ทำให้ผู้เสพไม่สามารถต่อต้านได้ มาตรการควบคุมและปราบปรามยาเสพติด และกรณีศึกษาที่นำเสนอทางเลือกและโอกาสที่จะต่อสู้กับความเย้ายวนจากสารเสพติด หอฝิ่นได้จัดแสดงอุปกรณ์การสูบฝิ่น การขายฝิ่น ชมภาพถ่าย ภาพยนต์และวีดิทัศน์เรื่องราวเกี่ยวกับและยาเสพติดจากหลายประเทศทั่วโลก
ความเป็นมาของ หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ

ดินแดนสามเหลี่ยมทองคำ คือ จุดที่ประเทศไทย ลาว และพม่า มาบรรจบกัน เป็นที่ที่แม่น้ำรวกไหลมารวมกันกับแม่น้ำโขง และยังหมายถึงพื้นที่กว้างครอบคลุมบริเวณถึงสามประเทศ และในพื้นที่นี้เองมีการปลูกฝิ่น ผลิตเฮโรอีน และลักลอบนำออกไปขาย เมื่อได้ยินคำว่า “ สามเหลี่ยมทองคำ “ คนส่วนมากมักจะนึกถึง ดอกฝิ่น ชาวไทยภูเขา เทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก แม่น้ำโขง หรือภาพของภาพป่าเบจพรรณ แต่ภาพที่นึกถึงมากที่สุดคงจะเป็นภาพของฝิ่นและเฮโรอีน ภาพความลึกลับ น่าสะพรึงกลัวของการปลูกและการลักลอบค้าฝิ่น ภาพสงครามกลางเมือง กองทหารการสู้รบของพวกลักลอบการค้าฝิ่น ชาวบ้านยากจน การกวาดล้างโรงงานผลิตเฮโรอีน คาราวานขนฝิ่นไปตามเส้นทางในป่า สามเหลี่ยมทองคำ คือแหล่งที่มาของเฮโรอีนกว่าครึ่งของจำนวนที่มีอยู่ทั้งหมดในโลก สามเหลี่ยมทองคำ คือรากเหง้าของอาชญากรรมและการกระทำอันทุจริตที่เกิดขึ้นในทวีปเอเชียแพร่ไปสู่แอฟริกา ยุโรปและอเมริกา ทุกๆปีจะมีนักท่องเที่ยวเกือบแสนเดินทางมาที่นี่เพียงเพราะชื่อ สามเหลี่ยมทองคำ ปี พ.ศ.2531 (1988) สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงเริ่มโครงการพัฒนาดอยตุงขึ้นในจุดเหนือสุดของประเทศไทยโครงการนี้มีจุดหมายที่จะคืนผืนป่าและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เทือกเขานางนอนในเขตพื้นที่ประเทศไทย และหยุดการปลูกและการเสพฝิ่นในดินแดนแห่งนี้ ในอีกไม่กี่ปีต่อมา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงริเริ่มโครงการที่จะช่วยให้การศึกษาแก่ประชาชนในเรื่องของการศึกษาประวัติของฝิ่นในดินแดนสามเหลี่ยมทองคำและทั่วโลก ทั้งนี้เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนร่วมกันต่อสู้ยาเสพติด ให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ยาเสพติดประเภทต่างๆ ไม่เฉพาะก่อให้เกิดปัญหากับประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาให้กับประชากรและสังคมโลกโดยรวมอีกด้วย การริเริ่มโครงการในพระราชดำริในครั้งนั้น ส่งผลสืบเนื่องให้เกิด หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ
หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 250 ไร่ ห่างจากอำเภอเชียงแสนประมาณ 10 กิโลเมตร หอฝิ่นฯซึ่งล้อมรอบด้วยสวนอันสวยงามของอุทยานสามเหลี่ยมทองคำ จะเป็นศูนย์นิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมาของฝิ่นเมื่อสมัยที่มีการใช้กันอย่างถูกกฎหมายและผลกระทบของการเสพติดฝิ่น อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นศูนย์ข้อมูลเพื่อการค้นคว้าวิจัยและการศึกษาต่อเนื่องในหัวข้อฝิ่น สารสกัดจากฝิ่นในรูปแบบต่างๆและยาเสพติดในชนิดอื่นๆ
นิทรรศการภายในของหอฝิ่นประกอบด้วย
อุโมงค์มุข (TUNNEL)
นิทรรศการเริ่มตั้งแต่อุโมงค์ที่มืดสนิท ดูลึกลับที่มีความยาว 137 เมตร ซึ่งเจาะทะลุภูเขาทางด้านตึกรับรองไปถึงตัวอาคารใหญ่อีกฟากหนึ่ง ที่กว้าง สว่าง ลม โปร่ง และเป็นทุ่งฝิ่นจำลอง
ห้องโถง (LOBBY)
ผู้คนจะได้เห็นทุ่งฝิ่นจำลอง และศึกษาเรื่องราว และความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพันธุ์ต่างๆของดอกป๊อปปี้ทั้งที่เป็นพันธุ์สวยงามและเป็นพันธุ์ที่ใช้กรีดเอายางมาผลิตเป็นยา การเจริญเติบโตในระยะต่างๆของดอกป๊อปปี้ รวมทั้งการเปาะแห้งของดอกป๊อปปี้ที่ใช้ประโยชน์ในการตกแต่งดอกไม้แห้งประดับ
ห้องประชุม (AUDITORIUM)
ห้องโสตทัศนศึกษาในห้องนี้มีการจัดฉาย VTR เล่าถึงที่มาจุดประสงค์และเรื่องราวที่บรรจุในการจัดหอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ
ปัญจสหัสวรรษแรก (THE FIRST 5,000 YEARS)
ผู้ชมจะเดินทางเข้าสู่การแกะรอยประวัติศาสตร์อันยาวนาน และเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ของพืชพิเศษประเภทนี้ การแกะรอยประวัติศาสตร์ของฝิ่นเริ่มต้นจากการกำเนิดของฝิ่น บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีหลักฐานการค้นพบครั้งแรกที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ตลอดจนหลักฐานที่มีการเขียนเป็นรายลักษณ์อักษรชิ้นแรกในตำราทางการแพทย์ SUMERIAN และการใช้เชิงการแพทย์ และการศาสนาในกรีกโบราณ โมและ อียิปต์ ได้มีการใช้ฝิ่นซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิผลที่ต่ำมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
มีดสองคม (LIGHT AND DARK HALLWAY)
ผนังสองด้านของทางเดินเชื่อมต่อนี้จะถูกออกแบบให้สะท้อนถึงด้านดีและด้านร้ายที่ได้จากการใช้ ”ฝิ่น” - ด้านที่ดี จะเป็นด้านที่สว่างเห็นภาพของการใช้ยาที่ได้จากการสกัดจากฝิ่น เพื่อประโยชน์จากการรักษาและบรรเทาอาการเจ็บปวด ผลผลิตที่ได้จากดอกป๊อปปี้ เช่น สินค้า เค้ก ขนมปัง ดอกไม่ประดับ - ด้านร้าย เป็นด้านที่มืดจะเห็นอาการที่ทุกข์ทรมานจากการเสพติด ภาพการใช้เข็มฉีดยา และภาพการเสื่อมโทรมทางกายภาพของผู้ติดยา
ประจิมสู่บูรพา (FROM WES TO EAST)
ต่อจากนั้นผู้ชมจะก้าวเข้าสู่ยุคของการค้าระหว่างจักรวรรดิยุโรปกับเอเชีย เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าฝิ่นเป็นสินค้าในเชิงพาณิชย์อย่างไรและฝิ่นกลายเป็นสารเสพติดที่แพร่หลายในวงกว้างอย่างไร โดยจำลองฉากท่าเรือพาณิชย์อังกฤษผู้ชมจะเดินทางผ่านห่อใบชา ผ้าไหม เครื่องลายคราม และเครื่องเทศ อันเป็นสินค้าของตะวันออกและวัฒนธรรมการดื่มชาของชาวอังกฤษ และเป็นสาเหตุของการขาดดุลการค้าอย่างมหาศาลเกือบทำให้ประเทศนี้เกือบล่มสลาย ต่อจากนั้นจึงเดินทางเข้าสู่เรือสินค้าของยุโรปที่ออกเดินทางจากอังกฤษมาอินเดียพร้อมทั้งชมโรงงานฝิ่นในอินเดีย เรือบรรทุกสินค้าจะหยุดพักที่เมืองสิงคโปร์เพื่อเติมเสบียง และขนถ่ายสินค้าบางส่วนลงเรือขนาดเล็ก สู่ท่าเรือท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เมืองสงขลา และจันทบุรี เมืองสิงคโปร์จึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างอินเดียและจีน ก่อนที่จะรวมการเดินทางราวติดปีกของฝิ่นมาสู่ประเทศจีนที่ท่าเรืออันเป็นหัวใจของจีน กวางตุ้ง
ศึกษาฝิ่น (OPIUM WARS)
ร่องรอยประวัติศาสตร์นี้จะนำนักท่องเที่ยวสู่ความขัดแย้งที่รู้จักกันในนาม “ สงครามฝิ่น “ เมื่อชาวอังกฤษบังคับให้จีนเปิดประเทศเข้าสู่การค้าเสรีและภายใน ค.ศ. 1900 คนจีนกว่า 13 ล้านคน ติดฝิ่นเศรษฐกิจของจีนถูกทำลายลงอย่างย่อยยับจากการที่จีนต้องนำเข้าฝิ่นเป็นจำนวนมากมายมหาศาลและราชวงค์แมนจู(ราชวงค์ชิง) ก็ตกอยู่ในภาวะล่มสลาย ภายในห้องนี้จะเล่าถึงเหตุการณ์ สำคัญรวมทั้งสงครามที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของจีนโดยมีการจัดแสดงหุ่นจำลองของสามบุคลสำคัญของจีนและสามบุคลสำคัญของอังกฤษทั้งหมดมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับสงครามฝิ่น ห้องถัดมาจะเป็นการจัดแสดงเหตุการณ์สำคัญสามเหตุการณ์ ได้แก่ การทำลายฝิ่นที่หูเหมินโดยข้าหลวงหลินเจ๋อสวี การเผาทำลายหยวนหมิง – หยวน ซึ่งเป็นพระราชวังฤดูร้อนอายุกว่า 150 ปี การถูกลิดรอนสิทธิและผลกระทบด้านความเป็นอยู่ของชาวจีนหลังสงคราม
เที่ยวดอยแม่สลอง
เมื่อวันสาร์ ที่5 ธันวาคม 2552 นักศึกษาระดับป.บัณฑิตประกาศนียบัตรวิชาชีพครู หมู่ที่2 ได้จัดกิจกรรมห้องร่วมกัน โดยนำอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์การกีฬา เครื่องอุปโภค บริโภค ไปมอบให้น้องๆนักเรียนโรงเรียนบ้านแม่เต๋อ และหลังจากเสร็จภาระกิจแล้วทางสมาชิกในห้องได้แวะเที่ยวชม ในสถานที่ต่างๆ เช่น ดอยหมอกแม่สลอง พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราหมาสถิติคีรี ชิมชาอู่หลง ชมดอกซากุระ สุสานนายพลต้วน

ข้อมูลทั่วไป

ตั้งอยู่ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง เป็นชื่อเรียกรวมๆ ของชุมชนชาวจีนฮ่อ แห่งกองพล 93 ที่ตั้งหลักแหล่งบนดอยแห่งนี้มานานกว่า 40 ปี ปัจจุบันชุมชนชาวจีนบนดอยแม่สลอง มีชื่อว่า หมู่บ้านสันติคีรี ตั้งอยู่ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล เฉลี่ย 1,200 ม. อากาศเย็นสบายตลอดปี รายได้หลัก มาจากการปลูกชาอู่หลง บ้านสันติคีรี เป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีประชากร ประมาณ 800 หลังคาเรือน มีทั้งวัด โบสถ์คริสต์ มัสยิด ระบบไฟฟ้า โทรศัพท์ และธนาคารทหารไทย ที่ให้บริการอย่างสมบูรณ์แบบ

ประวัติความเป็นมา

ดอยแม่สลอง เป็นชุมชนของอดีตทหารจีนกองพล 93 สังกัดพรรคก๊กมินตั๋ง ของนายพลเจียงไคเช็ค ทำการรบอยู่ทางตอนใต้ของจีน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในจีน เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ นำโดยเหมาเจ๋อตุง ยึดอำนาจสำเร็จ พรรคก๊กมินตั๋ง จึงถอยร่นไปปักหลักที่เกาะไต้หวัน กองพล 93 กลายเป็นกองกำลังพลัดถิ่น ถูกกดดันอย่างหนัก จนถอยร่นเข้ามาในเขตพม่า แต่ถูกฝ่ายพม่าผลักดัน เกิดการปะทะกันหลายครั้ง จนต้องถอยร่นมาจนถึงเทือกดอยตุงชายแดนไทย

ฝ่ายพม่าได้ร้องเรียนไปยังสหประชาชาติ เมื่อปี พ.ศ.2496 และมีมติให้อพยพกองกำลังพลัดถิ่นไปยังประเทศไต้หวัน แต่ทหารสังกัดนายพลหลี่เหวินฝาน และนายพลต้วนซีเหวิน ราว 3 หมื่นคน ทำเรื่องขอลี้ภัยในประเทศไทย เนื่องจากไม่แน่ใจในอนาคต เพราะไต้หวันเป็นเพียงเกาะเล็กๆ รัฐบาลไทยอนุญาตโดยจัดสรรให้ทหารของนายพลหลี่เหวินฝาน ไปอยู่ที่ถ้ำง้อบ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ส่วนทหารสังกัดนายพลต้วนซีเหวิน 15,000 คน อยู่บนดอยแม่สลอง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 เพื่อใช้เป็นกันชนกับชนกลุ่มน้อย ทำให้ดอยแม่สลองในยุคแรก เป็นดินแดนลี้ลับต้องห้าม มีปัญหายาเสพติด และกองกำลังติดอาวุธมาตลอด ทางการไทยได้พยายามแก้ปัญหา โอนกองกำลังเหล่านี้มาอยู่ในความดูแลของกองบัญชาการทหารสูงสุด

กระทั่งปี พ.ศ.2515 ครม.มีมติรับทหารจีนคณะชาติให้อาศัยในแผ่นดินไทยอย่างเป็นทางการ ยุติการค้าฝิ่น ปลดอาวุธ และหันมาทำอาชีพเกษตรกรรม โดย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ริเริ่มโครงการปลูกชา และปลูกสนสามใบ เพื่อทดแทนป่า ชุมชนบนดอยแม่สลองได้ชื่อใหม่ เป็นบ้านสันติคีรี มีการออกบัตรประชาชน ให้เมื่อปี พ.ศ.2521 ดอยแม่สลองคืนสู่ความสงบ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญนับแต่นั้นมา

การเดินทาง

รถยนต์ส่วนตัว เดินทางไปยังดอยแม่สลอง ได้สองเส้นทาง จาก อ.เมืองเชียงราย ใช้ทางหลวงหมายเลข 10 มายัง อ.แม่จัน จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1089 (แม่จัน - ท่าตอน) บริเวณหลัก กม.856 ก่อนถึงทางเข้าตัว อ.แม่จันเล็กน้อย ผ่านน้ำพุร้อนป่าตึง (กม.78) ลานทองวิลเลจ (ระหว่าง กม.73-74) และกม.55 ให้เลี้ยวขวา ไปตามเส้นทางขึ้นดอยคดเคี้ยว อีก 15 กม.อีกเส้นทางคือ เส้นทางสายเก่า ใช้ทางหลวงหมายเลข 10 แยกซ้ายมือ มีป้ายบอกทางไปดอยแม่สลองชัดเจน เส้นทางสายนี้ ค่อนข้างแคบและคดเคี้ยว ผ่านหมู่บ้านชาวเขาเผ่าต่างๆ เป็นระยะๆ เมื่อถึงบ้านป่าเมี่ยง หลัก กม.10 จะเป็นสามแยกศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา แยกขวาเป็นทางหลวงหมายเลข 1338 ไปพระตำหนักดอยตุง ให้เลี้ยซ้ายตาามทางหลวง 1234 ระยะทาง 25 กม. ผ่านบ้านอีก้อสามแยก ตรงหลัก กม.9 ให้เลี้ยวซ้ายไปอีก 16 กม. จะถึงดอยแม่สลองรถประจำทาง นั่งรถสองแถวสีเขียวแก่ สายแม่จัน-ท่าตอน ท่ารถอยู่ในตลาดแม่จัน ลงรถที่ด่านตรวจกิ่วสะไต จากนั้นต่อรถสองแถวจากกิ่วสะไต ไปแม่สลอง เวลาออกไม่แน่นอน แต่จะมีรถมารอรับผู้โดยสารเป็นระยะๆ หรือรอโบกรถเข้าไปก็ได้ หรือใช้บริการรถสองแถวสีฟ้าสายป่าซาง-แม่สลอง บริเวณบ้านป่าซาง มีรถตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึง 17.00 น. ขากลับจากแม่สลอง มีรถไม่แน่นอน รถจะรอผู้โดยสารด้านหน้าคุ้มนายพลรีสอร์ท

สิ่งที่น่าสนใจ
ชิมชาอู่หลง
ชิมชาอู่หลงชาเป็นพืชเศรษฐกิจของบ้านสันติคีรี ในพื้นที่ปลูกหลายพันไร่ มีต้นชามากกว่า 2 ล้านต้น ที่นี่จึงมีไร่ชา โรงอบชา และร้านจำหน่ายชาหลายสิบร้านเรียงรายบนถนนสายหลัก ที่ผ่านกลางหมู่บ้าน ชาที่มีชื่อเสียงคือ ชาอู่หลง ซึ่งมีกลิ่นหอมพิเศษ ต้องมีวิธีการดื่มเฉพาะแบบชาวไต้หวัน ร้านจำหน่ายชาทุกร้าน เช่นวังพุดตาล ร้านชานายพลต้วน จะเชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้ทดลองชิมชา พูดคุยสอบถามถึงวิธีการชงชา เลือกซื้อหาชา อุปกรณ์ชงชาแบบต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถไปชมไร่ชา การเก็บชา โดยไม่เสียค่าบริการได้อีกด้วย
ชมดอกซากุระ
ชมดอกซากุระเส้นทางเข้าสู่หมู่บ้านสันติคีรี ทั้งด้านกิ่วสะไต และบ้านอีก้อสามแยก จะปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งเรียงรายสองข้างทาง เป็นระยะทางกว่า 4 กม. ต้นนางพญาเสือโคร่งจะทิ้งใบจนหมด และผลิดอกสีชมพูพราวไปทั้งต้นในหน้าหนาว ดูราวกับดอกซากุระของญี่ปุ่น สวยงามมาก ต้นนางพญาเสือโคร่งเหล่านี้ เป็นไม้พื้นถิ่นบนดอยทางภาคเหนือ เป็นไม้โตเร็ว นางพญาเสือโคร่งบนดอยแม่สลองนำมาปลูกไว้ในช่วงปี พ.ศ.2525ช่วงเวลาที่เหมาะสม ระหว่างเดือน ธ.ค. - ก.พ.

สุสานนายพลต้วน
สุสานนายพลต้วนอยู่บนเนินเหนือหมู่บ้าน แยกขึ้นไปทางด้านข้างคุ้มนายพลรีสอร์ต ประมาณ 1 กม. สร้างเมื่อปี พ.ศ.2523 แท่นหินอ่อนบรรจุร่างนายพลต้วนซีเหวิน อยู่ภายในศาลาเก๋งจีนขนาดใหญ่ สีขาว พื้นปูหินอ่อน ด้านหลังแท่นบรรจุศพ มีภาพถ่ายเก่าแก่เกี่ยวกับประวัติและผลงาน ด้านหน้าเป็นลาดเนิน มีตัวอักษร "ต้วน" ภาษาจีน สีทองบนพื้นสีฟ้าสุสานนายพลต้วนอยู่บนเนินที่ระดับความสูงประมาณ 1,300 ม. สามารถมองเห็นบ้านสันติคีรีในหุบต่ำลงไปเบื้องล่าง เป็นจุดชมทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่ดีจุดหนึ่ง ด้านหน้ามีร้านชาสองร้าน ซึ่งจะเชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้ทดลองชิมชา

พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี
พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรีตั้งอยู่บนยอดสูงสุดที่ระดับความสูง 1,500 ม. เหนือหมู่บ้านสันติคีรี ห่างจากหมู่บ้าน 4 กม. มีถนนลาดยางตัดขึ้นไปยังพระบรมธาตุฯ แต่ถนนสูงชัน คดเคี้ยวมากพระบรมธาตุฯ สร้างแล้วเสร็จเมื่อราวปี พ.ศ.2539 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่า เป็นเจดีย์แบบล้านนาประยุกต์ บนฐานสี่เหลี่ยมลดชั้น สูงประมาณ 30 ม. ฐานกว้าง ด้านละประมาณ 15 ม. ประดับกระเบื้องสีเทา มีซุ้มจระนำด้านละสามซุ้ม เรือนธาตุประดับพระพุทธรูปยืนสี่ทิศ องค์ระฆังประดับแผ่นทอง แกะสลักลวดลาย ใกล้กับองค์เจดีย์เป็นวิหารแบบล้านนาประยุกต์ที่ตั้งของพระบรมธาตุฯ เป็นจุดสูงสุดของเทือกดอยแม่สลองจึงชมทิวทัศน์ได้กว้างไกล โดยเฉพาะในยามเย็น ขณะเดียวกัน องค์พระธาตุยังเด่นเป็นสง่า มองเห็นแต่ไกล เป็นสัญลักษณ์อีกอย่างของดอยแม่สลอง
เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย เชียงราย

เกาะช้าง


เกาะช้าง
เกาะช้าง ใหญ่สมชื่อจริงๆ มีพื้นที่กว่า 268,125 ไร่ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะทะเลอ่าวไทยและใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากภูเก็ต เกาะช้างที่ผมพูดถึงคือ เกาะช้าง เกาะช้าง ตั้งอยู่ในเขตแหลมงอบ จ.ตราด นะครับ ไม่ใช่ เกาะช้างที่อยู่ทะเลอันดามัน จ.ระนอง (ระวังจะสับสน) ประกอบด้วย 8 หมู่บ้าน คือ สลักเพชร สลักคอก เจ้กแบ้ บ้านด่านใหม่ คลองสน คลองพร้าว คลองนนทรี และบ้านบางเบ้า มีสถาที่ราชการ อำเภอ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และเป็นที่ตั้งอุทยานฯหมู่เกาะช้างอีกด้วย ภายในเกาะจะเป็นสวนยางพารา และผลไม้ ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขาสูงมีผาหินสลับซับซ้อน ยอดเขาที่สูงที่สุด ได้แก่เขาสลักเพชร มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบเขา ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เกิดน้ำตก ลำธารหลายสาย ชายหาดสวย มีอยู่มากมาย ตามชายฝั่งตะวันตก ที่ดังๆ หน่อยก็ได้แก่ หาดทรายขาว หาดคลองพร้าว หาดไก่แบ้ ทั้งสามหาดมี รีสอร์ทตั้งอยู่เรียงรายริมหาดมากมาย ตั้งแต่ ราคา หลังละ 200 กว่า บาท ถึง 5,000 บาท ขึ้นไป นอกจากนี้บริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ยังมีเกาะเล็กๆ รายล้อม อันได้แก่ เกาะคลุ้ม เกาะเหลายา เกาะง่าม เกาะไม้ชี้ใหญ่ เกาะหวาย เกาะกระ เการัง เกาะมันนอก เกาะมันใน เกาะกระดาด เกาะหมาก เกาะขาม ฯลฯ ส่วนใหญ่ช่วงเทศกาล เกาะเล็กเกาะน้อยเหล่านี้มัก เสนอแต่แพคเก็จทัวร์ ปัจจุบันมีทัวร์รูปแบบต่างๆ มากมายนอกจากการเล่นน้ำทะเลเที่ยวเกาะ เช่น ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ขี่ช้างท่องไพร ล่องเรือ ตกปลา ไดหมึก หรือพักโฮมสเตย์กับหมู่บ้านชาวประมง
หาดทรายขาว
เป็นหาดที่มีระยะทางยาว 6 กม. มีบังกะโลตั้งอยู่หลายแห่ง มีถนนรอบเกาะตัดชิดหาดมากที่สุด สามารถเล่นน้ำได้ แต่บางช่วงของหาดจะต่างระดับ ลึกตื้นไม่เท่ากัน เลียบชายหาดมี โรงแรม รีสอร์ท ร้านค้า ร้านอาหาร ตั้งอยู่เรียงรายมากมาย ดูเหมือนว่าบริเวณนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าบริเวณอื่นๆ
บทความเรื่อง การศึกษาสร้างคน คนสร้างชาติ*
กระบวนการศึกษาในการสร้างบุคลากรจะต้องประกอบด้วย สถานศึกษาที่มีคุณภาพ
ซึ่งเต็มไปด้วยครู อาจารย์ที่มีคุณภาพเช่นกัน รวมทั้งการสนับสนุนของภาครัฐ แต่ที่สำคัญที่สุดคือทุกคนในประเทศที่ต้องตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา การศึกษา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การศึกษาจะต้องเน้นให้บุคคลเกิดการคิดที่เป็นการคิดให้เป็น ซึ่งประชากรไทยยังขาดการคิดเป็นอยู่ ในขณะเดียวกันภาครัฐต้องร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งเสริมกำลังปัญญาของชาติเพื่อนำมาพัฒนาประเทศหรือการที่จะมีบุคคลมาสร้างชาตินั่นเอง กำลังปัญญา หมายถึง คุณภาพของกำลังคนอันเป็นแรงงาน ตลอดจนศักยภาพในการพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังปัญญาของประเทศไทย ระดับการศึกษาของแรงงานไทยยังอยู่แค่ระดับประถมต้น
การศึกษา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากความหมายจะเห็นว่าการศึกษาจะช่วยสร้างคนหรือบุคคลให้เจริญงอกงามและส่งผลต่อสังคมในฐานะที่แต่ละบุคคลมาอยู่รวมกันเป็นสังคมก็ตรงกับประโยคที่ว่า “ การศึกษาสร้างคน คนสร้างชาติ “ ดังนั้นบทความนี้จึงขอเสนอกระบวนการที่การศึกษาสร้างคน และกระบวนการสร้างชาติ
กระบวนการของการศึกษาที่สร้างคนที่สำคัญคือ สถานศึกษา สถานศึกษา หมายถึง สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย สถาบัน มหาวิทยาลัย หน่วยงานการศึกษาหรือหน่วยงานอื่นของรัฐหรือของเอกชน ที่มีอำนาจหน้าที่หรือมีวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา (มาตรา 4 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ) สำหรับสถานศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยควรมีบทบาทและภารกิจ ดังนี้ 1. การเป็นสถาบันสร้าง รวบรวมและประยุกต์องค์ความรู้ทางวิฃาการมากกว่าการเป็นสถาบันสอนนิสิต/นักศึกษาเพียงอย่างเดียว 2. การเป็นผู้นำแห่งสำนึกสาธารณะของสังคม (ไท วังจันทร์, หน้า 3-4) ซึ่งบทบาทของมหาวิทยาลัยก็เพื่อให้ได้บุคคลที่มีคุณภาพมารับใช้สังคม เป้าหมายของการศึกษาในปัจจุบันไม่ได้จบอยู่ที่คน ๆ หนึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกซึ่งสูงสุดแล้วในกระบวนการการศึกษา แต่หมายถึงการศึกษาตลอดชีวิตเพราะการศึกษาสร้างคนให้รู้จักคิด ทำและเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและสังคม บุคคลที่การศึกษาสร้างควรมีลักษณะที่พึงประสงค์สำหรับศตวรรษนี้ ควรพร้อมด้วยความคิด 10 มิติ อันประกอบด้วย การคิดเชิงวิทยาการ การคิดเชิงวิเคราะห์ การคิดเชิงสังเคราะห์ การคิดเชิงเปรียบเทียบ การคิดเชิงมโนทัศน์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ การคิดเขิงประยุกต์ การคิดเชิงกลยุทธ์ การคิดเชิงบูรณาการ และการคิดเชิงอนาคต (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ หน้า XI) ดังนั้นกระบวนการศึกษาสร้างคนในยุคปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย สถาบันการศึกษาต้องตระหนักและให้ความสำคัญเพราะการได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีความคิดที่มีศีลธรรม จริยธรรม มีความคำนึงถึงส่วนรวมหรือสังคมแล้วจะทำให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้า ปัญหาของการศึกษาอยู่ที่การไม่สามารถทำให้คนคิดเป็น (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ หน้า 54) ซึ่งท่านได้เสนอวิธีการส่งเสริมให้คนคิดเป็น คือ สนับสนุนเอกชนตั้งโรงเรียนนักคิด เช่น การคิดสำหรับนักสื่อสารมวลชน การคิดสำหรับนักบริหาร หารคิดสำหรับข้าราชการ การคิดสำหรับพ่อแม่ เป็นต้น

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บทความ
ภาษากับสังคม
ภาษาสัมพันธ์กับสังคมอย่างแยกไม่ออก ที่ใดมีสังคมที่นั่นต้องมีภาษาสังคมหมายถึงกลุ่มคนที่อยู่รวมกัน ประกอบด้วยตั้งแต่สองคนขึ้นไป มีความสัมพันธ์กัน และมีวัฒนธรรมร่วมกัน มนุษย์จำเป็นต้องมีภาษาเพื่อสื่อสารกับสมาชิกคนอื่นในสังคม มีเรื่องจริงว่ามีผู้พบเด็กที่เกิดในที่ที่ไม่ใช่สังคมมนุษย์ เช่นในป่า หรือถูกขังไว้ลำพัง และเติบโตขึ้นโดยไม่เคยพบมนุษย์คนอื่น เด็กเหล่านั้นไม่พูดภาษาอะไรเลย แสดงว่ามนุษย์จะพูดภาษาได้เมื่ออยู่ในสังคม หากไม่มีสังคมก็ไม่มีภาษา
ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารของคนในสังคม คนในสังคมใช้ภาษาเพื่อสื่อสาร จุดประสงค์ของการพูดหรือการเขียนคือเพื่อบอกให้คนอื่นรู้ข้อเท็จจริงความต้องการ ความรู้สึก ความคิดเห็น ฯลฯ ของตน ดังนั้นการศึกษาภาษาการเรียนการสอนภาษา ตลอดจนการตัดสินความถูกความผิดของภาษา จึงต้องพิจารณาปริบททางสังคม
นอกจากภาษาจะสื่อสารสิ่งต่างๆที่ผู้พูดต้องการแล้ว ภาษายังสื่อความหมายทางสังคมด้วย กล่าวคือบ่งบอกสถานภาพหรือภูมิหลังของคนที่พูด เช่นคำว่า คะ ค่ะ โดยปรกติสื่อว่าผู้พูดเป็นผู้หญิง ถ้าคนใดออกเสียงคำว่าพ่อ เป็น “ป้อ” ก้หมายความว่าคนนั้นเป็นคนภาคเหนือ ออกเสียง ร้อน เป็น“ฮ่อน”หรือ “ฮ้อน” ก็หมายความคนนั้นเป็นคนภาคอีสาน และถ้าออกเสียง งู เป็น “ฮู” แสดงว่าผู้พูดนั้นแป้นคนภาคใต้ ถ้าผู้พูดใช้คำว่า เห่อ เว่อ แสดงว่าผู้พูดเป็นวัยรุ่นหรือใช้ภาษาแบบวัยรุ่น ลักษณะภาษาอย่างนี้แสดงความหมายทางสังคม ซึ่งสื่อเพื่อใช้รู้ว่าผู้พูดเป็นเพศใด มาจากถิ่นใด หรืออายุรุ่นใด เป็นต้น
ความหลากหลายของภาษา การมีภาษาต่างกันจำนวนมากในสังคม เกิดขึ้นได้ในสังคมทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ชนชาติหรือชาติพันธ์ต่างๆมีวัฒนธรรมต่างกันมักพูดภาษาต่างกันด้วย ในสังคมไทยก็มีความหลากหลายของภาษา เนื่องจากมีกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆหลายกลุ่ม ภาษาที่ใช้พูดจึงมีมากมายหลายภาษาถ้ามองมุมที่แคบลงไปอีก คือมองไปในภาษาแต่ละภาษา ก็มีความหลากหลายของภาษาในลักษณะอื่นอีก
ความหลากหลายของภาษาจึงอาจพิจารณาได้เป็น 2 ทาง คือ
1.การที่สังคมหรือชุมชนใดก็ตามมีภาษาจำนวนมาก
2. การที่ภาษาใดภาษาหนึ่งมีรูปแบบการใช้หลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันหรือมีความหลากหลายในตัวของภาษาแต่ละภาษานั่นเอง
ความหลากหลายของภาษาที่เน้นในที่นี้คือความหลากหลายการที่ภาษาใดภาษาหนึ่งมีรูปแบบการใช้หลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันหรือมีความหลากหลายในตัวของภาษาแต่ละภาษานั่นเอง เพราะจะเกี่ยวข้องกับสังคมโดยตรง ความหลากหลายดังกล่าวนี้พบในภาษาทุกภาษา ภาษาอังกฤษเป็นตัวอย่างที่ดีของภาษาที่มีความหลากหลายของภาษามาก เพราะเป็นภาษาที่มีผู้ใช้จำนวนมากและกระจายไปทั่วโลก
ภาษาไทยก็มีความหลากหลายเช่นเดียวกัน ภาษาถิ่นต่างๆ เช่น ภาษาถิ่นกลาง ภาษาถิ่นเหนือ ภาษาถิ่นอีสาน และภาษาถิ่นใต้มีความต่างกันใสบางลักษณะ แสดงว่าภาษาไทยมีความหลากหลาย ในทำนองเดียวกัน ภาษาไทยที่ผู้ใช้มีอายุต่างกัน อาชีพต่างกัน ฐานะในสังคมต่างกัน ความรู้ต่างกัน ฯลฯ
ก็มีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ภาษาไทยที่ทำหน้าที่ต่างกัน เช่น ภาษาวิชาการ ภาษากฎหมาย ภาษาโฆษณา ภาษานวนิยาย ก็เป็นตัวอย่างแสดงความหลากหลายของภาษาไทยทั้งสิ้น

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บทความเกี่ยวกับภาษาไทย
ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้สื่อสารจะใช้เสียง ท่าทาง หรือสัญลักษณ์ก็ได้ แต่จะต้องมีระบบกฎเกณฑ์ที่เข้าใจ ตรงกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ภาษาที่ใช้สื่อสารกันเป็นปกติในชีวิตประจำวันแบ่งได้เป็น ประเภท คือ ภาษาที่ใช้ถ้อยคำ หรือวัจนภาษาและภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำหรืออวัจนภาษา
ถ้อยคำหรือวัจนภาษา เป็นภาษาที่มนุษย์กำหนดใช้และตกลงร่วมกันเพื่อแทนมโนภาพของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งสามารถรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัสได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำหรืออวัจนภาษา คือ กิริยาอาการต่าง ๆ ที่มนุษย์ใช้สื่ออารมณ์ความรู้สึกความต้องการ ฯลฯ บางท่านเรียกภาษาประเภทนี้ว่าภาษากาย อวัจนภาษา ของผู้ใดส่วนใหญ่จะบ่งบอกถึงความรู้สึกและบุคลิกภาพของผู้นั้น
วัจนภาษา และ อวัจนภาษา มีความสัมพันธ์กัน โดยเฉพาะในขณะที่บุคคลสื่อสารกันใน ลักษณะที่เห็นหน้าเห็นตากัน ย่อมต้องใช้ทั้งวัจนภาษา และ อวัจนภาษา เช่น ถ้าพูดว่า "ฉันต้องการหนังสือเล่มนั้น" และชี้มือไปที่หนังสือเล่มที่ต้องการ ผู้รับสารก็สามารถหยิบหนังสือได้ถูกต้อง
การสื่อสาร โดยใช้วัจนภาษา ในรูปแบบการเขียนนั้น หากสังเกตให้ดีจะพบว่าถ้อยคำที่เขียนนั้นมีอวัจนภาษาปนอยู่ด้วย เช่น
"เขยิบ เขยิบ เขยิบ เขยิบ เข้ามาซิ กระแซะ กระแซะ กระแซะ เข้ามาซิ"
"ใกล้ ๆ เข้าไปอีกนิด ชิด ๆ เข้าไปอีกหน่อย สวรรค์น้อยน้อย อยู่ในวงฟ้อนรำ"
คำว่า เขยิบ กระแซะ หรือใกล้ ๆ ชิด ๆ ช่วยให้ผู้รับสารเห็นกิริยาอาการ หรือบทชมปลาในกาพร์เห่เรือ ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร

"ชะแวงแฝงฝั่งแนบ วาดแอบแปบปนปลอม
เหมือนพี่แอบแนบถนอม จอมสวาทนาฎบังอร"

คำว่า แฝง , แนบ , แอบ เป็นคำที่ช่วยผู้อ่านมองเห็นภาพตามที่กวีบรรยายได้อย่างชัดเจน อวัจนภาษา แบ่ง เป็น 7 ประเภท ดังนี้
1.เทศภาษา เป็นภาษาที่ปรากฎจากลักษณะของสถานที่ที่บุคคลทำการสื่อสาร กันอยู่รวมทั้ง ช่องระยะที่บุคคลทำการสื่อสารห่างจากกัน สถานที่และช่วงระยะ จะสื่อความหมายที่อยู่ในจิตสำนึกของผู้ที่กำลังสื่อสารกันได้ เช่น บุคคลต่างเพศสองคนนั่งชิดกันอยู่บนม้านั่งตัวเดียวกันย่อมเป็นที่เข้าใจว่าบุคคลทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษ
2. กาลภาษา การใช้เวลาเป็นการสื่อสารเชิงอวัจนะ เพื่อแสดงเจตนาของผู้รับสาร เช่น การ ไปตรงเวลานัดหมาย แสดงถึง ความเคารพ การให้เกียรติ และเห็นความสำคัญของผู้ส่งสาร หรือการรอคอยด้วยความอดทน แสดงว่า ธุระของผู้รอคอยมีความสำคัญมาก
3. เนตรภาษา เป็นอวัจนภาษาที่ใช้ดวงตาสื่ออารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ความประสงค์ และ ทัศนคติบางประการในตัวผู้ส่งสาร
4. สัมผัสภาษา หมายถึงอวัจนภาษาที่ใช้อาการสัมผัส เพื่อสื่ออารมณ์ความรู้สึก ตลอดจน ความ ปรารถนา ที่ฝังลึกอยู่ในใจของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร
5. อาการภาษา เป็นอวัจนภาษาที่อยู่ในรูปของการเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อการสื่อสาร เช่น ศีรษะ แขน ขา ลำตัว เป็นต้น
6. วัตถุภาษา เป็นอวัจนภาษาที่เกิดจากการใช้และการเลือกวัตถุ มาใช้ เพื่อแสดงความหมาย บางประการ เช่น การแต่งกายของคน ก็สามารถสื่อสารบอกกิจกรรม ภารกิจ สถานภาพ รสนิยม ตลอดจนอุปนิสัยของบุคคลนั้น ๆ ได้
7. ปริภาษา หมายถึงอวัจนภาษา ที่เกิดจากการใช้น้ำเสียงประกอบถ้อยคำที่พูดออกไป น้ำ เสียงจะมีความสำคัญมากในการสื่อความหมายนั้น

ความสัมพันธ์ระหว่างวัจนภาษาและอวัจนภาษา นอกจากจะเกิดขึ้นในขณะที่
บุคคลกระทำการสื่อสาร เฉพาะหน้ากันแล้ว ในภาษาถ้อยคำหรือในวัจนภาษา เราจะสังเกตเห็นอวัจนภาษาแฝงอยู่ด้วยตัวอย่างที่เห็นอย่างสม่ำเสมอคือ การพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ ทั้งนี้เพราะนักหนังสือพิมพ์ใช้ กลวิธีเขียนข่าวให้มีสีสันหรือวาดให้เห็นภาพ ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการแสดงเรื่องให้ผู้อ่านดูมากกว่า การเล่าเรื่องหรือการรายงานข่าว การพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ จึงเป็นภาษาที่เขียนขึ้นเพื่อให้ผลทางอารมณ์ แก่ผู้อ่าน ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น เช่น
"สำนักงบฯ ตีปี๊บ โครงการเงินกู้เจ๋ง"
"ฆ่าโหด 20 ศพ ฝังทั้งเป็น" ถ้าเปลี่ยน เป็น
"สำนักงบประมาณแถลงข่าวเรื่องโครงการเงินกู้ว่าประสบความสำเร็จ"
"ชาย 20 คน ถูกฆ่าโดยวิธีการฝังทั้งเป็น"
จะพบว่า ภาษาเป็นทางการ ขาดสีสัน ไม่เร้าอารมณ์ ให้ติดตามรายละเอียดในเนื้อข่าว เมื่อนำภาษาพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ มาพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างวัจนภาษาและอวัจนภาษาแล้วพบว่า
อวัจนภาษาที่พบมากในภาษาพาดหัวข่าวมี 3 ประเภท คือ
1. อาการภาษา อวัจนภาษา ประเภทนี้จะพบมากที่สุด เพราะเป็นอวัจนภาษาที่เสริมให้วัจนภาษามีความ หมายชัดเจน เช่น ให้ผู้อ่านมองเห็นภาพ เช่น
3โจรบุกปล้นเรือนมยุรา
รวบ คาโรงแรม โจ๋มัธยมมั่วยา
คนกรมศาสนาลุย ปิดแล้วสำนักเพี้ยน
สุรศักดิ์ได้ประกัน หอบ 18 ล้านค้ำ
4 งูเห่าซบ ชพ.คึก ยึดนนท์ - ลุยปทุมฯ เปิดทีมหักหาญสวัสดิ์
2. สัมผัสภาษา อวัจนภาษาประเภทนี้พบไม่มากนัก เป็นกริยาที่คนสองคนร่วมกันทำกิจกรรม หรือเป็น กิจกรรมของคนคนเดียวที่สัมผัสกับผู้อื่น เช่น
กก แคชเชียร์ ผจก. ดับบริศนา
หลุยส์ ควง สนั่น ไหว้ครูรามฯ
มีกริยาบางคำที่เป็นสัมผัสภาษา แต่สื่อมวลชน นำมาใช้ในความหมายแฝง คำเหล่านี้ ไม่จัดเป็นสัมผัสภาษา เช่น
รัฐควัก 300 ล. เน้น สิบล้อ
คำว่า "อุ้ม" ในที่นี้หมายถึง ช่วยเหลือ จึงไม่จัดเป็นสัมผัสภาษา
3. ปริภาษา อวัจนภาษา ประเภทนี้มีไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นการใช้คำเลียนเสียง เพื่อแสดงอารมณ์หรือ กระตุ้นให้ผู้อ่านแปลความหมายจากเสียงที่ได้ยินว่า เป็นอารมณ์อย่างไร เช่น แท็กซี่
ฮื่ม - ประมง ปิดอ่าว ครม. ไม่ลดแวต
เสรีธรรม เฮ ลั่นรับอีดี้
คำว่า ฮื่ม เป็นน้ำเสียงแสดงอารมณ์ไม่พอใจ เฮ แสดงอารมณ์พอใจ ส่วน บิ้ม เป็นเสียงวัตถุระเบิด
สำหรับอวัจนภาษาประเภท เทศภาษา กาลภาษา วัตถุภาษา เนตรภาษา เท่าที่ศึกษายังไม่พบแต่อาจจะปรากฎใน ภาพข่าว หรือ การ์ตูน ซึ่ง เป็นอวัจนาภาษาที่ช่วยให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหาของสารมากขึ้น เช่น
ภาษาหนังสือพิมพ์ เป็นภาษาที่มีลักษณะเฉพาะ และมีอิทธิพลมากกว่าสิ่งพิมพ์อื่น ๆ เพราะหนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่เข้าถึงประชาชนทุกระดับ การที่หนังสือพิมพ์มีภาษาเฉพาะใช้ในวงการ และโดยเฉพาะการพาดหัวข่าวและหัวข่าวรองที่มีเนื้อที่กระดาษ จำกัด จำเป็นต้องใช้คำกระชับสะดุดตา สะดุดใจคนอ่านซึ่งนับเป็นการสร้างสรรค์ทางภาษาที่น่าสนใจ และนักศึกษาอย่างยิ่ง

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การศึกษา คือการสร้างคนให้มีความรู้ ความสามารถมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นมีลักษณะนิสัยจิตใจที่ดีงาม มีความพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตนเองและสังคม มีความพร้อมที่จะ ประกอบการงานอาชีพได้ การศึกษาช่วยให้คนเจริญงอกงาม ทั้งทางปัญญา จิตใจ ร่างกาย และสังคม การศึกษาจึงเป็นความจำเป็นของชีวิตอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจากความจำเป็น ด้านที่อยู่อาศัย อาหารเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค การศึกษาจึงเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต เป็นปัจจัยที่จะช่วยแก้ปัญหาทุก ๆ ด้านของชีวิตและเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของชีวิตในโลกที่มีกระแสความเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และเท คโนโลยีอย่าง รวดเร็ว และส่งผลกระทบให้วิถีดำรงชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันการศึกษายิ่งมีบทบาทและความจำเป็น มากขึ้นด้วย การศึกษาที่จะช่วยให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี มีความสุข จะต้องมีลักษณะ ที่สำคัญดังนี้ 1. เป็นการศึกษาที่ให้ความรู้ และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างเพียงพอ เช่น ความรู้และทักษะทางด้านภาษา การคิดคำนวณ ความเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นต้น สภาพปัจจุบันมีความจำเป็นต้องสนับสนุนให้ทุกคนได้รับการศึกษาขั้น พื้นฐานอย่างน้อย 12 ปี จึงจะเพียงพอกับความต้องการและความจำเป็นที่จะยกระดับ คุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น 2. การศึกษาทำให้คนเป็นคนฉลาด เป็นคนมีเหตุผล คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น และ รู้จักวิธีแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง และเพื่อการงานอาชีพ 3. การศึกษาต้องสร้างนิสัยที่ดีงาม ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนโดยเฉพาะนิสัยรักการ เรียนรู้ และนิสัยอื่น ๆ เช่นความเป็นคนซื่อสัตย์ ขยัน อดทน รับผิดชอบ เป็นต้น 4. การศึกษาต้องสร้างความงอกงามทางร่างกาย มีสุขภาพพลามัยที่ดี รู้จัก รักษาตนให้แข็งแรง ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และสารพิษ 5. การศึกษาต้องทำให้ผู้เรียนไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นความสำคัญของประโยชน์ส่วนรวมให้ความร่วมมือกับผู้อื่นในสังคม อยู่รวมกับผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยสร้างสังคมที่สงบเป็นสุข รักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน 6. การศึกษาต้องทำให้คนมีทักษะการงานอาชีพที่เพียงพอกับการเข้าสู่การงานอาชีพ รู้จักการประกอบอาชีพและรู้จักพัฒนาการงานอาชีพ ทั้ง 6 ประการ เป็นพื้นฐานทางการศึกษาที่จำเป็น ที่คนจะต้องได้รับรู้อย่างทั่วถึงทุกคน ถ้าทุกคนได้รับอย่างครบถ้วน เพียงพอก็จะทำให้เกิดทักษะลักษณะและนิสัยที่พึงประสงค์ได้ การศึกษาจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นเพียงสำหรับคนบางคน แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่ขาดความพร้อมในปัจจัยต่าง ๆ เพื่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ ยิ่งมีความ จำเป็นมากที่สุด คนที่ขาดความพร้อมต้องการการศึกษามาก มักเป็นกลุ่มคนที่ถูกลืมตลอดเวลา การศึกษาที่ได้รับก็มักเป็นบริการที่กระท่อนกระแท่น ไม่เพียงพอกับการเรียนรู้ที่เหมาะสม ไม่พอแม้เพียงเพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย ตรงข้ามกับผู้ที่มีความพร้อมพอจะช่วยตนเองได้ กลับได้รับบริการที่มีคุณภาพและปริมาณที่ดีกว่ามาก ดังจะเห็นได้จากสถานศึกษาในเมืองกับในชนบท ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในทุก ๆ ด้าน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ การศึกษานอกจาก จะไม่สามารถสร้างความพร้อมที่เพียงพอกับผู้ต้องการแล้ว ยังส่งเสริมให้ช่องว่างระหว่าง คนรวยกับคนจนแตกต่างกันมากขึ้นด้วย เพื่อให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชาติ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์การศึกษาเสียใหม่ให้หันมาให้ความสำคัญกับคนยากจนคนเสียเปรียบ และคนด้อยโอกาสให้มากขึ้นทรัพยากรของรัฐต้องนำมาใช้จ่าย เพื่อปรับปรุงบริการการศึกษา สำหรับคนยากจนให้ดีขึ้นเป็นพิเศษ ให้เพียงพอกับการสร้างลักษณะสิสัยและความพร้อมที่จำเป็น ถ้าคนยากจน คนเสียเปรียบ คนด้อยโอกาสได้รับการศึกษาที่เหมาะสม และมีคุณภาพ แล้ว ปัญหาต่าง ๆ ในบ้านเมืองก็จะลดน้อยลงไปโดยปริยายและยังทำให้เขากลายเป็นกำลัง สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างดีด้วย การศึกษานอกจากเป็นปัจจัยที่ 5 แล้ว ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต และเป็นปัจจัยเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติในอนาคตอีกด้วย เราจงฝากความหวังของชาติ ด้วยการพัฒนาการศึกษากันเถิด

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บทความ

สวัสดีค่ะ

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรียงความ

ฉันจะประสบความสำเร็จในอาชีพครูได้อย่างไร

อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เสียสระ เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า “ครูเปรียบเสมือนเรือจ้าง” “ครูเป็นแม่พิมพ์ของชาติ” ในการปฏิบัติหน้าที่ของครูจึงจำเป็นต้องตั้งอยู่บนความดี เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับลูกศิษย์ ที่จะนำเอาครูไปเป็นแบบอย่างทั้งในเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน ครูจึงมีบทบาทสำคัญต่อลูกศิษย์ แนวทางในการที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพครูต้องมีองค์ประกอบทั้งในด้านคุณธรรม จริยธรรมและด้านการพัฒนาตนเอง
ด้านคุณธรรมในด้านคุณธรรมก็เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ครูเป็นแม่พิมพ์ของชาติ”ครูต้องเป็นแบบอย่างทีดีให้กับลูกศิษย์ และต้องปฏิบัติหน้าที่ที่ตั้งอยู่บนความดี ครูต้องมีความซื่อสัตย์ไม่นำเอาชีพครูไปทำในสิ่งที่ไม่ดีและไม่หาผลประโยชน์ส่วนตนต้องปกป้องศักดิ์ศรี และ ภูมิใจในอาชีพครู ครูต้องมีความรัก มีความเมตตา มีคุณธรรมต่อศิษย์คิดว่าลูกศิษย์เปรียบเสมือนเป็นลูกของตนเอง และมีความเสียสระประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ครูต้องมีวินัยในตนเอง ยึดมั่นในจรรยาบรรณของอาชีพครู และดำเนินชีวิตอยู่อย่างเป็นธรรมไม่เอนเอียง
ด้านการสอนครูต้องศึกษาหลักสูตรวิชาชีพครูอย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง ครูมีหน้าที่สอนต้องสอนให้สุดความสามารถ ถ่ายทอดความรู้ให้ดี มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอในด้านการหานวัตกรรมที่ใหม่ๆ หาเอกสารมาเสริมความรู้ให้กับนักเรียน ครูต้องมีความตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ มุ่งมั่น อดทน อดกลั้นต่ออุปสรรค์ปัญหาต่างๆ ครูต้องเป็นนักวางแผนที่ดี เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ
ด้านเทคโนโลยี ในปัจจุบันสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลใหม่ๆ และทันสมัย เพื่อมาประกอบในการทำกิจกรรมการเรียนการสอนมากขึ้น ครูจึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบการศึกษา ทำให้ครูผู้สอนมีความรู้ความสามารถ และทักษะ มีคุณธรรมให้ทันต่อความเจริญก้าวหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป สามารถพึ่งตนเองได้ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและหลักนิยมของโรงเรียน
ด้านความรู้ความสามารถครูที่จะเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ จะต้องฝึกฝนมั่นศึกษาหาความรู้อยู่อย่างสม่ำเสมอมีการปรับตัวให้ทันกับความรู้ใหม่ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อเป็นการเลี่ยนบรรยากาศในการเรียนการสอนไม่ให้เกิดความซ้ำซาก
ด้านบุคลิกภาพ/ทัศนคติครูต้องมีทัศนคติที่ดี รักความเป็นครูมีความสุขกับการทำงาน ทำให้นักเรียนยอมรับและเคารพให้ได้และต้องรู้จักตนเองให้ถ่องแท้
การที่จะเป้นครูที่ดีและประสบผลสำเร็จในอาชีพครูก็คงทำได้ไม่ง่ายและก็ไม่ยากจนเกินไป การปฏิบัติตนให้เป็นคนดี มีความรับผิดชอบในหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบก็คงจะประสบผลสำเร็จทุกอย่าง

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สวัสดีเจ้า......

พี่แอ๊ดดดดด..........